ฉันเป็นที่ปรึกษาธุรกิจให้กับบริษัทต่างๆ มามากกว่า 1000 บริษัท รวมไปถึงร้านขายของต่างๆ เมื่อถามว่าพวกเขาจะตัดสินใจลงทุนในการทำ SEO หรือไม่?
คำตอบส่วนมากที่ได้ยินคือ
“เว็บไซต์ของฉันเล็กเกินไปสำหรับการทำ SEO”
ฉันลองมาคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง แล้วตั้งคำถามกับตัวเองว่า
“หากไม่มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ของฉัน ฉันยังควรทำ SEO อยู่หรือไม่?”
คำตอบที่ได้คือ
“ฉันควรทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ของฉันเลย” …เพราะอะไร?
เพราะจุดมุ่งหมายของ SEO คือการทำให้เว็บไซต์ของคุณมีตัวตนในสายตาของผู้เข้าชม หากคุณไม่ทำ SEO ยอดผู้เข้าชมของคุณก็จะไม่เพิ่มขึ้นเลย
การทำ SEO สามารถเพิ่มยอดผู้เข้าชม และเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าจากเว็บไซต์ของคุณได้ สำหรับธุรกิจที่มีงบประมาณน้อย การโฆษณาอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูง แม้ว่าคุณอาจจะได้รับผลกำไรระยะสั้น แต่มันก็จะเผาผลาญงบประมาณของคุณไปอย่างรวดเร็ว
เพื่อผลประโยชน์ทางการเงินที่จะได้รับ การทำ SEO เป็นวิธีการตลาดที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีงบประมาณการตลาดน้อย
SEO นั้นต่างจากการโฆษณาในแบบอื่นๆ แม้ว่าคุณจะไม่เห็นยอดผู้เข้าชมที่เพิ่มขึ้นมาโดยทันที แต่ SEO คือการสร้างรากฐานที่จะอยู่ทนนานหลายปี คุณยังอาจจะได้รับยอดผู้เข้าชมนับพันจากบล็อกโพสต์ที่คุณเคยเขียนเมื่อสิบปีก่อน!
นอกจากนั้น คุณภาพของผู้เข้าชมจาก SEO นั้นมีคุณภาพมากกว่าผู้เข้าชมจากแคมเปญ PPC (Pay Per Click คือ การลงโฆษณาบนหน้าผลลัพธ์การค้นหา) ซึ่ง PPC นั้นเราต้องเสียค่าใช้จ่ายให้ทุกการคลิกจากผู้ใช้งาน
SEO นั้นมีความสำคัญสำหรับทุกเว็บไซต์ รวมถึงเว็บไซต์ของคุณด้วย แม้ว่าในเวลานี้คุณจะยังมียอดผู้เข้าชมไม่สูง แต่เรามีเทคนิค SEO ที่คุณสามารถทำได้เพื่อเพิ่มยอดผู้เข้าชมของคุณ นี่คือวิธีการทำ SEO สำหรับเว็บไซต์ที่ไม่มียอดผู้เข้าชม
อ้างอิงจาก https://youtu.be/wWiSShEGyHA
การปรับปรุงกลยุทธ์ของ Content
เทคนิคที่ค่อนข้างใช้เวลาในการทำ แต่ผลที่ได้รับนั้นคุ้มค่า นั่นคือการสร้างกลยุทธ์ของ Content เว็บไซต์ขนาดเล็กส่วนมากจะลังเลในการสร้างกลยุทธ์สำหรับ Content เพราะพวกเขาคิดว่าเป็นการเพิ่มงานให้กับพวกเขาเอง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคุณไม่จำเป็นต้องเสียเวลามากมายกับบล็อกโพสต์ของคุณเลย
ก่อนอื่นเรามามองถึงเหตุผลที่คุณควรพิจารณาการสร้างกลยุทธ์ของ Content ผู้คนในปัจจุบันต้องการคำตอบสำหรับสิ่งที่พวกเขาค้นหา และคำตอบนั้นต้องมีความน่าเชื่อถือด้วย
บล็อกอย่าง Backlinko และ Copyblogger ไม่ได้ใหญ่โตขึ้นเพราะพวกเขามี Content จำนวนมาก แต่เป็นเพราะพวกเขามี Content ที่เชื่อถือได้เป็นจำนวนมาก
เนื่องจากบทความที่มีความน่าเชื่อถือนั้นสามารถเปลี่ยนเป็นชื่อเสียงได้ Backlinko และ Copyblogger นั้นได้ให้บทเรียนที่สำคัญเรื่องการตอบคำถาม
ซึ่งถ้าคุณให้คำตอบที่ผู้ค้นหาต้องการได้โดยละเอียด ผู้คนจำนวนมากก็จะเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ
ตัวเลขก็สามารถพิสูจน์ได้เช่นกัน เช่น บริษัทที่ใช้การตลาด Content จะใช้ Conversion Rates (อัตราส่วนผู้เข้าชม Content ที่เปลี่ยนเป็นการกระทำใดๆ ต่อไป) เปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่งขันของพวกเขา
คุณจะสร้างกลยุทธ์ของ Content ได้อย่างไร?
1. ค้นหาจุดเชื่อมโยงระหว่างสินค้าหรือบริการของคุณ สิ่งที่ลูกค้าค้นหา
ก่อนจะไปถึงขั้นตอนการวิจัย Keywords คุณควรลองมองปัญหาจากมุมที่กว้างขึ้นก่อน คุณจะต้องกำหนดข้อเสนอของคุณและสิ่งที่ผู้คนกำลังค้นหา และจุดเชื่อมโยงของทั้ง 2 สิ่งนี้จะสร้างแผนงาน Content ให้กับคุณ
ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังทำ SEO ให้กับสำนักงานทันตแพทย์ท้องถิ่น คุณต้องเข้าใจว่าผู้คนกำลังมีคำถามเช่นนี้
– จะค้นหาทันตแพทย์ที่ดีได้อย่างไร
– วิธีการประหยัดเงินในการทำฟัน
– วิธีการประหยัดเงินในการทำฟันถ้าไม่มีประกัน
– วิธีป้องกันการถูกเรียกเก็บเงินเพิ่มจากทันตแพทย์
– คาดหวังอะไรได้จากการไปหาทันตแพทย์
– การกรอฟันเจ็บหรือไม่
– การเตรียมตัวให้ลูกเมื่อต้องไปหาทันตแพทย์
มีหัวข้อที่ควรเขียนมากมาย แต่คุณควรมุ่งเน้นไปยังบางหัวข้อที่สำคัญ และเขียนให้ครอบคลุมสำหรับทุกหัวข้อ หนึ่งในวิธีการหาแนวคิดในการสร้าง Content สำหรับธุรกิจท้องถิ่นคือการใช้ Yelp
1. ไปที่ Yelp.com
2. ค้นหาประเภทธุรกิจของคุณ และพื้นที่ของคุณ
3. ค้นหาธุรกิจที่มีบทวิจารณ์เป็นจำนวนมาก และคลิกที่ชื่อธุรกิจนั้น
4. เลื่อนลงมาดูบทวิจารณ์
5. ให้ความสนใจกับลูกค้าที่ให้คะแนนธุรกิจนี้ต่ำ บ่อยครั้งวิธีที่ดีที่สุดในการดึงดูดความสนใจของลูกค้าคือการค้นหาปัญหาของพวกเขา และสัญญาว่าจะแก้ปัญหานั้น
ดังเช่นตัวอย่างนี้ ที่มีข้อร้องเรียนหลายประการเกี่ยวกับสถานประกอบการ
คุณจะค้นพบว่ามีผู้คนสนใจในหัวข้อต่อไปนี้
– วิธีหลีกเลี่ยงปัญหาจากประกันเมื่อไปหาทันตแพทย์
– มีทางเลือกในการทำฟันหรือไม่?
– ทันตแพทย์พยายามหลอกลวงคุณหรือไม่?
– วิธีการต่อรองกับทันตแพทย์
นอกจากปัญหาแล้ว คุณก็ยังสามารถรับแนวคิดอื่นๆ ได้ด้วย
ความคิดเห็นด้านบนแสดงให้คุณเห็นสิ่งที่ผู้ค้นอาจค้นหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับทันตแพทย์ท้องถิ่น
– ค้นหาทันตแพทย์ฉุกเฉินในบริเวณใกล้เคียง
– การทำฟันฉุกเฉิน
– สำนักงานทันตกรรมที่ไม่ต้องนัดหมายล่วงหน้า
สิ่งสำคัญที่ต้องจำเอาไว้คือ ผู้คนกำลังมองหาคำตอบสำหรับคำถามที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ ยิ่งคุณศึกษาปัญหาเหล่านี้มากเท่าไหร่ คุณก็จะสามารถสร้าง Content ที่ตรงกับข้อความค้นหาของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น
2. สร้าง Content ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเหล่านั้น
ขั้นตอนที่ 2 ของการสร้างกลยุทธ์ของ Content คือการดำเนินการ Content ที่ดีที่สุดคือ Content ที่ค่อนข้างยาว หมดยุคสมัยของบทความที่มีความยาวแค่ 300 คำไปแล้ว
เพื่อให้ Content ของคุณประสบความสำเร็จ และลูกค้าให้ความสนใจ คุณต้องสร้าง Content ที่มีความยาว มีความรู้จริง และมีความน่าเชื่อถือ
การวิจัย Keywords
การวิจัย Keywords ในแบบดั้งเดิมนั้นถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้ว
วันนี้สิ่งที่สำคัญกว่ารูปแบบเดิมคือการมุ่งเน้นไปยังประเด็นต่างๆ ของผู้ใช้งาน เช่น เจตนาของผู้ใช้งาน ในปัจจุบันมันไม่ใช่แค่การค้นหา Keywords เท่านั้นอีกแล้ว
มันเกี่ยวกับผู้ใช้งานว่า พวกเขาต้องการอะไร? พวกเขากำลังมองหาอะไร? พวกเขาอยากทราบเกี่ยวกับอะไร?
สุดท้ายมันอาจลงเอยที่การวิจัย Keywords เหมือนกัน แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการกำหนดสิ่งที่ผู้เข้าชมของคุณสนใจ และมอบสิ่งนั้นให้กับผู้เข้าชมของคุณ
เคล็ดลับในการสร้างกลยุทธ์ของ Content ที่ประสบความสำเร็จ
เริ่มต้นด้วยการไม่กดดันตัวเอง คุณไม่จำเป็นต้องเขียนบล็อก ตั้งค่าตอบกลับอีเมลอัตโนมัติ และสัมมนาผ่านเว็บไซต์ไปในเวลาเดียวกัน จะเป็นการดีกว่ามากหากจะพยายามทำไปทีละอย่าง
เริ่มต้นที่การเขียนบล็อก เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเปิดตัวกลยุทธ์ของ Content และเป็นเทคนิคที่คุ้มค่าที่สุดเช่นกัน
นี่คือแนวคิดของ AdEspresso
หากคุณจะสร้างบล็อก ควรศึกษา Keywords ที่เฉพาะเจาะจง และนี่คือสิ่งที่คุณต้องในการสร้างบล็อก
ประการแรก วางแผนล่วงหน้าและตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1-2 บล็อกโพสต์ต่อสัปดาห์
ประการที่สอง ทำตามเป้าหมาย หากคุณตั้งเป้าหมายไว้ที่การโพสต์ 2 โพสต์ต่อสัปดาห์ คุณก็จะต้องพยายามทำให้ได้ตามนั้น
ประการที่สาม แยกประเภทของ Content เมื่อคุณคุ้นเคยกับ Content ประเภทแรกแล้ว ให้ลองทำ Content ประเภทอื่นๆ ต่อไป
ประการสุดท้าย แชร์ Content ของคุณ เพราะเว็บไซต์จำนวนมากมี Content ที่มีประโยชน์มากมาย แต่พวกเขาไม่เคยเเชร์ ด้วยสาเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้รับยอดผู้เข้าชมหรือการแสดงผลในหน้าผลลัพธ์การค้นหามากนัก
แม้จะใช้ Keywords ที่เฉพาะเจาะจงแล้ว แต่มันก็ไร้ประโยชน์ หากไม่มีการทำการตลาด Content
เราแนะนำให้คุณแชร์ Content ของคุณบนโซเชียลเน็ตเวิร์คขนาดใหญ่ เช่น Facebook หรือ Twitter แต่คุณก็ควรพิจารณาโซเชียลเน็ตเวิร์คขนาดเล็กอื่นๆ รวมถึงเว็บไซต์เฉพาะทางด้วย
Quora คือหนึ่งในสถานที่ที่เหมาะสำหรับการแชร์ Content ของคุณ
และ Medium ก็เช่นกัน
และนั่นคือวิธีการสร้างกลยุทธ์ของ Content อย่างย่อ
การวิจัยและกลยุทธ์ของคุณ คือส่วนที่สำคัญที่สุดของ SEO ที่ประสบความสำเร็จ หากคุณเปิดตัวแคมเปญ SEO อย่างรีบร้อน คุณจะเสียเวลาและงบประมาณจำนวนมหาศาลไป
อย่างไรก็ตาม หากคุณใช้ความคิดและให้ความสนใจกับกลยุทธ์ของคุณเป็นอย่างดี นั่นจะเป็นการสร้างรากฐานที่สามารถทำให้คุณประสบความสำเร็จไปได้อีกเป็นเวลานาน ให้ความสนใจกับกลยุทธ์ของคุณ และมันจะตอบแทนคุณในระยะยาว
ใส่ใจกับผู้เข้าชมของคุณ
การตลาดเป็นการสื่อสารทางเดียวมานานหลายทศวรรษ นักการตลาดจะสร้างโฆษณาสำหรับโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ เป็นแคมเปญระดับโลกที่ออกแบบมาเพื่อการบริโภคแบบทางเดียว แต่นั่นไม่ได้ผลอีกต่อไป
การตลาดในปัจจุบันคือการโต้ตอบ แบรนด์จะมีส่วนร่วมกับลูกค้าผ่านโซเชียลมีเดีย และบล็อกเกอร์ชั้นนำมากมายจะมีการสนทนากับผู้เข้าชมของพวกเขาผ่านการแสดงความคิดเห็น
แล้วสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับ SEO ได้อย่างไร? ลองมาดูเป้าหมายหลักของ SEO กันก่อน
– การสร้างยอดผู้เข้าชม
– การสร้างผู้เข้าชมที่มีความสนใจต่อแบรนด์ของคุณ
– การสร้างความน่าเชื่อถือ
หากคุณสร้างกลุ่มเป้าหมายที่มีความเชื่อใจในแบรนด์ของคุณได้ คุณก็จะทำตามเป้าหมายทุกอย่างของคุณได้โดยง่าย
หากผู้คนเชื่อใจเว็บไซต์ของคุณ พวกเขาจะเข้ามาชมเว็บไซต์ของคุณบ่อยครั้ง และแชร์ Content ของคุณ ผู้เข้าชมหลายคนจะกลายเป็นลูกค้า และเว็บไซต์ของคุณก็จะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นตามไปด้วย
การสร้างผู้เข้าชมคือสิ่งที่คุณควรทำอย่างถูกต้องมาตั้งแต่เริ่มต้น หากคุณมีกลุ่มผู้เข้าชมเริ่มต้นที่เชื่อใจคุณ แม้จะมีปริมาณน้อยก็ตาม คุณก็จะมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น
เว็บไซต์จำนวนมากพยายามดึงดูดผู้เข้าชม โดยที่ไม่ทราบว่าผู้เข้าชมนั้นคือใคร
แบรนด์และองค์กรจำนวนมากที่ทำการตลาดล้มเหลว นั่นเป็นเพราะพวกเขาพยายามที่จะเป็นทุกสิ่งให้กับทุกคน และสุดท้ายเขาก็จะไม่ได้อะไรกลับมาเลย
ดังนั้นคุณควรทำอย่างไร? คำตอบคือ การวิเคราะห์ข้อมูลประชากรของคุณ และข้อมูลการดำเนินชีวิตของพวกเขา
คุณต้องทราบว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร และพวกเขาต้องการอะไร
คุณสามารถวัดทั้ง 2 สิ่งนี้ได้โดยการใช้ Google Analytics ไปที่แท็บ Reporting แล้วไปที่แถบด้านซ้ายมือ
ไปที่ Audience > Demographics > Overview
คุณจะเห็นหน้าจอแบบนี้
คุณจะสามารถทราบได้ว่าผู้อ่านของคุณอายุเท่าไหร่ และเพศอะไร แต่ไม่มีใครทราบว่าคุณสามารถทำการวิจัยเกี่ยวกับข้อมูลการดำเนินชีวิตโดย Google Analytics ได้ด้วย
ในแถบด้านซ้ายมือ ไปที่ Audience > Interests > Overview
คุณจะเห็นหน้าจอแบบนี้
จากตรงนี้คุณจะได้รับแนวคิดเกี่ยวกับความสนใจของผู้เข้าชม
ในส่วนของ Affinity Categories จะแสดงถึงหัวข้อที่ผู้เข้าชมของคุณชื่นชอบ เช่น เทคโนโลยี การทำอาหาร และอื่นๆ ในส่วนของ In-Market จะช่วยคุณวิเคราะห์ว่าผู้เข้าชมของคุณซื้อสินค้าประเภทไหน และผู้คนในหมวดหมู่นี้พร้อมที่จะซื้อสินค้า
ในส่วนของ Other Categories จะให้มุมมองเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้เข้าชมของคุณได้รับชมมา ทำให้คุณมีแนวคิดที่ดีขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาชอบ
นี่เป็นเพียงข้อมูลส่วนเล็กๆ ของข้อมูลประชากรของคุณ และข้อมูลการดำเนินชีวิตของพวกเขา หากคุณต้องการรู้จักผู้เข้าชมของพวกคุณจริงๆ ก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่คุณสามารถทำได้
หลังจากที่คุณทราบว่าผู้เข้าชมของคุณคือใคร และพวกเขาต้องการอะไร คุณต้องกำหนดเป้าหมายและนำพวกเขามายังเว็บไซต์ของคุณ
เว็บไซต์ส่วนมากพบว่าเป็นการยากที่จะสร้างปริมาณการเข้าชมครั้งแรก และเมื่อทำได้ คุณก็ต้องรักษาผู้เข้าชมเหล่านั้นไว้กับเว็บไซต์ของคุณด้วย
ในการทำสิ่งเหล่านี้คุณต้องมีข้อเสนอที่มั่นคงว่า คุณจะให้ประโยชน์อะไรกับพวกเขา? และทำไมพวกเขาต้องมายังเว็บไซต์ของคุณ?
สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำให้ผู้คนจดจำคุณค่าของคุณ หากคุณใช้เวลาไปกับการให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะสามารถทำได้ ผู้เข้าชมก็จะไว้วางใจคุณ และมองว่าคุณมีความน่าเชื่อถือ
การเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณสำหรับการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ
เคล็ดลับสำหรับการใช้งานเว็บไซต์บนโทรศัพท์มือถือ
– การออกแบบมาเพื่อนิ้วที่มีขนาดใหญ่ มันคือสิ่งที่ไม่ดีเมื่อเว็บไซต์ของคุณมีขนาดเล็กจนผู้เข้าชมกดปุ่มผิด
– แม้ว่าโทรศัพท์มือถือจะมีขนาดใหญ่ขึ้น คุณก็ควรพิจารณาการปรับขนาดของเว็บไซต์ของคุณให้เหมาะสม
– อย่าใช้ป๊อปอัป หรือโฆษณาคั่นระหว่างหน้า ดังเช่น Google ที่มีการควบคุมการโฆษณาคั่นระหว่างหน้า เพราะสิ่งนี้คือป๊อปอัปที่คุณต้องกดปุ่ม X เพื่อปิด
นี่คือตัวอย่างโฆษณาคั่นระหว่างหน้า
จากนั้นนำเว็บไซต์ของคุณไปทดสอบ
คุณสามารถใช้เครื่องมือ SEO สำหรับโทรศัพท์มือถือของ Varvy ได้ เพื่อทดสอบว่าเว็บไซต์ของคุณทำงานบนโทรศัพท์มือถือได้ดีเพียงใด
จากการทดสอบกับ NeilPatel.com โดยพิมพ์ URL ลงไปในแถบค้นหา แล้วคุณจะเห็นรายการวิเคราะห์โดยละเอียด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก
และยังมีคู่มือการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์สำหรับการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ เพื่อช่วยให้คุณปรับปรุงเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น
สรุป
คุณไม่จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ขนาดใหญ่เพื่อการทำ SEO คุณสามารถเริ่มต้นได้จากสิ่งที่คุณมี และปรับปรุงมัน
แม้ว่าคุณจะไม่เคยมีพื้นฐานในการทำ SEO แต่ถ้าหากคุณพัฒนาทักษะต่างๆ ที่ได้เรียนรู้ไป คุณก็จะได้รับผลตอบแทนจาก SEO กลับมา และทักษะเหล่านั้นก็ยังใช้ต่อไปได้ในอนาคต ไม่เคยมีคำว่าเร็วหรือช้าเกินไปสำหรับการเริ่มต้น หากคุณเริ่มต้นตอนนี้ คุณก็จะได้รับผลตอนแทนกลับมาอย่างรวดเร็ว
อ้างอิงจาก https://neilpatel.com/blog/how-to-do-seo-for-a-tiny-website-that-doesnt-have-any-visitors/